หลายคนคงน่าจะทราบถึงความสยองขวัญบวกกับความหลอนของเกาะฮาชิมะ เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นเกาะผีสิงที่สร้างชื่อเสียงทางด้านความหลอนให้ผู้คนทั่วโลกผู้ชื่นชอบความน่ากลัวได้หาโอกาสเดินทางไปลงพื้นที่จริงกันสักครั้ง เมืองที่ถูกสร้างขึ้นบนทะเล และมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Battleship Island ปัจจุบันเป็นเมืองร้างอยู่กลางทะเล และเชื่อกันอย่างสนิทใจในผู้คนจำนวนมากว่า ที่แห่งนี้ เต็มไปด้วยภูตผีปีศาจที่เฝ้าคอยหลอกหลอนผู้คนให้ต้องสติแตกมาแล้วมากมาย
จะกว่าไปแรกเริ่มเดิมที่เมืองแห่งนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมถ่านหินทั่วๆ ไปไม่น่าจะมีอะไรโดดเด่นหรือสร้างความหลอนให้กับผู้คนไปได้ แต่ทว่าเมืองธรรมดาๆ เมืองหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางทะเล เป็นแหล่งอุตสาหกรรมถ่านหิน กระทั่งเข้าสู่ในยุค 60 อุตสาหกรรมถ่านหินในญี่ปุ่นค่อยๆทยอยปิดตัวลง เนื่องจากถ่านหินหมดความนิยมจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงชนิดอื่น จนกระทั่งปิดตัวลงอย่างถาวรในปี 19 แต่ในขณะเดียวกัน นั่นคือวันแรกแห่งการเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งนี้ ให้เป็นพื้นที่แห่งความหลอนกล่าวขานกันมาจนถึงปัจจุบัน
โอกาสนี้เราลองมาดูกันว่า นอกเหนือจาก เกาะฮาชิมะ ที่สร้างตำนานความสยดสยองให้กับผู้คนทั่วโลกแล้ว ยังมีที่อื่นๆ ในประเทศอื่นๆ อีกหรือไม่ ที่หลอนไม่แพ้ที่นี่บ้าง
เริ่มเมืองแรกกันที่ เมืองคราโค่ ประเทศอิตาลี ไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัดนักว่าสถานที่แห่งนี้ใครเป็นผู้เริ่มสร้าง แต่ในปี1100 สำนักสงฆ์Benedictineแห่งSan Pietro dei Montiได้กล่าวอ้างถึงความเป็นเจ้าของ จริงๆแล้วมีหลายประเทศสร้างมันขึ้นมา คงเป็นเพราะภาวะสงครามในสมัยก่อน มีการแย่งอาณานิคมกัน ปัจจุบันจะพบเห็นปราสาทที่อยู่ส่วนบนสุดของเมืองและซากกำแพงเมืองที่ยาว เยียดตลอดจนต้นมะกอกที่เรียงรายกันโดยรอบถือได้ว่าเป็นเมืองที่สวยงามแห่งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าต้องคำสาปด้วยภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งที่ทำให้ผลิตผลทางการเกษตรไม่ดี การถูกโจรปล้นบ้านเรือน และสุดท้าย การเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่หลายครั้งติดกัน ทำให้ผู้คนเสียชีวิตไปมากมาย และเสียหายเกินกว่าที่จะได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ ในที่สุดทำให้เมืองล่มสลายลงใน ปี 1960
ต่อกันที่ เมืองเซ็นทราเลีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมืองเล็กๆ อยู่ในเขตการปกครองของเคาน์ตี้โคลัมเบีย รัฐเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งเมื่อนักธรณีวิทยาสำรวจพบว่า ลึกลงไปใต้ผืนดินแห่งนี้กว่า 1000 ตารางกิโลเมตรล้วนเต็มไปด้วยสายแร่ถ่านหินแอนทราไซต์ (anthracite) และพีท (peat) ประมาณการกันว่า ถ่านหินแอนทราไซต์ที่พบนี้มีปริมาณไม่น้อยกว่า 40 ล้านตัน หรือมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดที่พบในสหรัฐ กล่าวได้ว่ามีจำนวนมหาศาลอย่างแท้จริง
จนกระทั่งเรื่องราวความหลอนได้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อเย็นวันหนึ่งของเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1962 อาสาสมัครดับเพลิง 5 นายซึ่งอาสารับหน้าที่จัดเก็บและเผาทำลายขยะจากการลักลอบขุดถ่านหิน รวมทั้งขยะจากการทำสัมปทานเหมืองแร่ ได้ก่อเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อปล่อยให้ไฟเผาขยะมอดดับไปเอง เพราะเข้าใจว่า เมื่อเชื้อเพลิงหมด ไฟ ก็จะดับไปด้วย โชคไม่ดีนักที่อาสาสมัครเข้าใจผิด เพราะใต้หลุมขยะยังคงมีสายแร่ถ่านหินอยู่ ไฟที่กำลังมอดบนผิวดินค่อยๆ แทรกตัวลงสู่ใต้ดินไปตามสายแร่ซึ่งเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงชั้นดีอย่างช้าๆ โดยไม่มีใครล่วงรู้!
จวบจนเวลาล่วงเลยไปถึง 5 ปี การดับไฟก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ไฟใต้ดินจึงยังลุกลามต่อไปเรื่อยๆ และเริ่มสำแดงพิษสงมากยิ่งขึ้นด้วยการส่งก๊าซพิษที่เกิดจากการไหม้ถ่านหินให้ลอยปะปนในอากาศ ก๊าซเหล่านี้นอกจากจะสร้างปัญหาให้ระบบทางเดินหายใจโดยตรงแล้ว ยังส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในบางพื้นที่เริ่มลดต่ำลงทีละน้อย ผู้คนในเมืองต่างล้มป่วยลงเป็นจำนวนมาก ที่น่าแปลกคือและสร้างความหลอนให้กับผู้คนเป็นจำนวนมากนั่นคือ โบสถ์คาทอลิกเก่าแก่ชื่อ “St.Mary’s” กลับเป็นแห่งเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากไฟใต้พิภพแม้แต่น้อย ปัจจุบันเมืองเซ็นทราเลียแห่งนี้จึงแทบกลายเป็นเมืองร้าง ไม่เหลือเค้าเมืองอุตสาหกรรมถ่านหินที่เคยรุ่งเรืองในอดีต มีเพียงควันพิษที่ยังคงแทรกตัวผ่านผิวดินขึ้นมาเป็นระยะๆ ไม่นับการทรุดตัวที่ยังมีให้เห็นในบางส่วน เนื่องจากไฟใต้ดินก็ยังคงลุกลามต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เมืองที่ 3 ได้แก่ เมืองพริเพียต ประเทศยูเครน มันเริ่มมาจากการเกิดอุบัติเหตุของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งว่ากันว่ารุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่อเมริกาบอมใส่ฮิโรชิมาถึง 4 เท่า โดยการระเบิดของโรงงานดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 26 ปีก่อน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปไปกว่า 4000 คน มิพักต้องพูดถึงผู้คนอีกจำนวนมหาศาลที่ต้องได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่สำคัญคืออีกกว่า 600,000 ชีวิต มีสารกัมมันตภาพรังสีในร่างกาย และส่งผลให้รูปร่างผิดปกติ พิกลพิการ จนแทบจะไม่เหลือความเป็นปกติของมนุษย์ทั่วไป คนที่เคยลักลอบเข้าไปสำรวจซากพื้นที่ส่วนต่างๆ ของเชอร์โนบิล ต่างเคยเจอประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่ชวนขนลุกในหลายระดับ เช่น ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองตลอดเวลา ได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือที่ไร้ที่มา พบเห็นเงาของชายลึกลับที่หลายคนพบเห็น และพูดถึงรูปร่างลักษณะตรงกัน จนถูกเรียกว่า "Slender Man" และกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่สุดสยองขวัญอีกแห่งที่คนทั่วโลกให้การยอมรับอย่างแท้จริง
เมืองที่ 4 ได้แก่ เมืองซางจี ประเทศไต้หวัน ที่เมืองแห่งนี้หากมองกันตามภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็บอกได้เลยว่าเป็นเมืองที่สวยงามและน่าอยู่มากๆ ด้วยความที่มีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างแปลกประหลาด แต่กลับกลายเป็นเสน่ห์ที่สร้างความน่าสนใจจากการออกแบบที่หลุดออกจากกรอบเดิมๆ ไปอย่างไร้ขีดจำกัด หากแต่เรื่องราวความหลอนสยองขวัญเกิดขึ้นเมื่อการก่อสร้างกำลังดำเนินไปนั่นเอง ได้เกิดอุบัติเหตุหลายครั้งซึ่งได้คร่าชีวิตคนงานไปหลายคนจนถึงกับต้องหยุดการก่อสร้างไปหลายครั้งคราว แต่เหตุการณ์ที่ทำให้การก่อสร้างหยุดอย่างถาวรไปเลยก็คือ มีคนเห็นว่าส่วนต่างๆของบ้านสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้เองอย่างน่าขนลุกในยามวิกาลเรียกได้ว่าแม้จะสวยแค่ไหน หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมาแล้วล่ะก็ เชื่อได้เลยว่าหลายคนที่คิดอยากไปเยือนสถานที่แปลกประหลาดที่นี่ให้ได้สักครั้ง คงต้องกลับมาคิดกันหนักๆ อีกทีแล้วล่ะ
เมืองที่ 5 ได้แก่ เมืองออราดูร์ ซู แกลน ประเทศฝรั่งเศส เป็นเมืองร้างที่เกิดขึ้นด้วยไฟสงครามอย่างแท้จริง ซึ่งมีการโดนทำลายอย่างย่อยยับไม่เหลือชิ้นดีโดยกองทัพเยอรมันเมื่อปี ค.ศ. 1944 ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ทุกเพศทุกวัยที่ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมเป็นจำนวนราว 642 ศพ เรียกว่าแทบสูญสิ้นชีวิตเกือบหมดเมืองเลยทีเดียว ปัจจุบันได้มีการพยายามบูรณะเมืองนี้ใหม่โดยทางการของฝรั่งเศาให้น่าอยู่ แต่ก็ยังมีผู้ที่พบเจอกับความอาถรรพ์ ความเฮี้ยนจนไม่มีใครที่กล้าย่างกรายเข้าไป นอกเสียจากว่าผู้ที่ดวงตกจะพลัดหลงเข้าไป หรือกลุ่มคนที่ต้องการความท้าทายในชีวิต และต้องการประสบณ์กับเหตุการณ์ไม่คาดฝันสักครั้ง ส่วนคนธรรมดาทั่วๆ ไปนั้น เชื่อได้เลยว่าคงไม่มีใครอยากย่างกรายมายังสถานที่แห่งนี้แน่นอน