เกาะฮาชิมะ และอีก 5 เมืองหลอน-สยองขวัญ รอคนใจถึงอย่างเช่นคุณได้มาลิ้มลอง


เกาะฮาชิมะ

หลายคนคงน่าจะทราบถึงความสยองขวัญบวกกับความหลอนของเกาะฮาชิมะ เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นเกาะผีสิงที่สร้างชื่อเสียงทางด้านความหลอนให้ผู้คนทั่วโลกผู้ชื่นชอบความน่ากลัวได้หาโอกาสเดินทางไปลงพื้นที่จริงกันสักครั้ง เมืองที่ถูกสร้างขึ้นบนทะเล และมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Battleship Island ปัจจุบันเป็นเมืองร้างอยู่กลางทะเล และเชื่อกันอย่างสนิทใจในผู้คนจำนวนมากว่า ที่แห่งนี้ เต็มไปด้วยภูตผีปีศาจที่เฝ้าคอยหลอกหลอนผู้คนให้ต้องสติแตกมาแล้วมากมาย

จะกว่าไปแรกเริ่มเดิมที่เมืองแห่งนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมถ่านหินทั่วๆ ไปไม่น่าจะมีอะไรโดดเด่นหรือสร้างความหลอนให้กับผู้คนไปได้ แต่ทว่าเมืองธรรมดาๆ เมืองหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางทะเล เป็นแหล่งอุตสาหกรรมถ่านหิน กระทั่งเข้าสู่ในยุค 60 อุตสาหกรรมถ่านหินในญี่ปุ่นค่อยๆทยอยปิดตัวลง เนื่องจากถ่านหินหมดความนิยมจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงชนิดอื่น จนกระทั่งปิดตัวลงอย่างถาวรในปี 19 แต่ในขณะเดียวกัน นั่นคือวันแรกแห่งการเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งนี้ ให้เป็นพื้นที่แห่งความหลอนกล่าวขานกันมาจนถึงปัจจุบัน

โอกาสนี้เราลองมาดูกันว่า นอกเหนือจาก เกาะฮาชิมะ ที่สร้างตำนานความสยดสยองให้กับผู้คนทั่วโลกแล้ว ยังมีที่อื่นๆ ในประเทศอื่นๆ อีกหรือไม่ ที่หลอนไม่แพ้ที่นี่บ้าง

เมืองคราโค่ ประเทศอิตาลี

เริ่มเมืองแรกกันที่ เมืองคราโค่ ประเทศอิตาลี ไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัดนักว่าสถานที่แห่งนี้ใครเป็นผู้เริ่มสร้าง แต่ในปี1100 สำนักสงฆ์Benedictineแห่งSan Pietro dei Montiได้กล่าวอ้างถึงความเป็นเจ้าของ จริงๆแล้วมีหลายประเทศสร้างมันขึ้นมา คงเป็นเพราะภาวะสงครามในสมัยก่อน มีการแย่งอาณานิคมกัน ปัจจุบันจะพบเห็นปราสาทที่อยู่ส่วนบนสุดของเมืองและซากกำแพงเมืองที่ยาว เยียดตลอดจนต้นมะกอกที่เรียงรายกันโดยรอบถือได้ว่าเป็นเมืองที่สวยงามแห่งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าต้องคำสาปด้วยภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งที่ทำให้ผลิตผลทางการเกษตรไม่ดี การถูกโจรปล้นบ้านเรือน และสุดท้าย การเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่หลายครั้งติดกัน ทำให้ผู้คนเสียชีวิตไปมากมาย และเสียหายเกินกว่าที่จะได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ ในที่สุดทำให้เมืองล่มสลายลงใน ปี 1960

เมืองเซ็นทราเลีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

ต่อกันที่ เมืองเซ็นทราเลีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมืองเล็กๆ อยู่ในเขตการปกครองของเคาน์ตี้โคลัมเบีย รัฐเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งเมื่อนักธรณีวิทยาสำรวจพบว่า ลึกลงไปใต้ผืนดินแห่งนี้กว่า 1000 ตารางกิโลเมตรล้วนเต็มไปด้วยสายแร่ถ่านหินแอนทราไซต์ (anthracite) และพีท (peat) ประมาณการกันว่า ถ่านหินแอนทราไซต์ที่พบนี้มีปริมาณไม่น้อยกว่า 40 ล้านตัน หรือมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดที่พบในสหรัฐ กล่าวได้ว่ามีจำนวนมหาศาลอย่างแท้จริง

จนกระทั่งเรื่องราวความหลอนได้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อเย็นวันหนึ่งของเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1962 อาสาสมัครดับเพลิง 5 นายซึ่งอาสารับหน้าที่จัดเก็บและเผาทำลายขยะจากการลักลอบขุดถ่านหิน รวมทั้งขยะจากการทำสัมปทานเหมืองแร่ ได้ก่อเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อปล่อยให้ไฟเผาขยะมอดดับไปเอง เพราะเข้าใจว่า เมื่อเชื้อเพลิงหมด ไฟ ก็จะดับไปด้วย โชคไม่ดีนักที่อาสาสมัครเข้าใจผิด เพราะใต้หลุมขยะยังคงมีสายแร่ถ่านหินอยู่ ไฟที่กำลังมอดบนผิวดินค่อยๆ แทรกตัวลงสู่ใต้ดินไปตามสายแร่ซึ่งเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงชั้นดีอย่างช้าๆ โดยไม่มีใครล่วงรู้!

จวบจนเวลาล่วงเลยไปถึง 5 ปี การดับไฟก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ไฟใต้ดินจึงยังลุกลามต่อไปเรื่อยๆ และเริ่มสำแดงพิษสงมากยิ่งขึ้นด้วยการส่งก๊าซพิษที่เกิดจากการไหม้ถ่านหินให้ลอยปะปนในอากาศ ก๊าซเหล่านี้นอกจากจะสร้างปัญหาให้ระบบทางเดินหายใจโดยตรงแล้ว ยังส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในบางพื้นที่เริ่มลดต่ำลงทีละน้อย ผู้คนในเมืองต่างล้มป่วยลงเป็นจำนวนมาก ที่น่าแปลกคือและสร้างความหลอนให้กับผู้คนเป็นจำนวนมากนั่นคือ โบสถ์คาทอลิกเก่าแก่ชื่อ “St.Mary’s” กลับเป็นแห่งเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากไฟใต้พิภพแม้แต่น้อย ปัจจุบันเมืองเซ็นทราเลียแห่งนี้จึงแทบกลายเป็นเมืองร้าง ไม่เหลือเค้าเมืองอุตสาหกรรมถ่านหินที่เคยรุ่งเรืองในอดีต มีเพียงควันพิษที่ยังคงแทรกตัวผ่านผิวดินขึ้นมาเป็นระยะๆ ไม่นับการทรุดตัวที่ยังมีให้เห็นในบางส่วน เนื่องจากไฟใต้ดินก็ยังคงลุกลามต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

เมืองพริเพียต ประเทศยูเครน

เมืองที่ 3 ได้แก่ เมืองพริเพียต ประเทศยูเครน มันเริ่มมาจากการเกิดอุบัติเหตุของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งว่ากันว่ารุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่อเมริกาบอมใส่ฮิโรชิมาถึง 4 เท่า โดยการระเบิดของโรงงานดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 26 ปีก่อน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปไปกว่า 4000 คน มิพักต้องพูดถึงผู้คนอีกจำนวนมหาศาลที่ต้องได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่สำคัญคืออีกกว่า 600,000 ชีวิต มีสารกัมมันตภาพรังสีในร่างกาย และส่งผลให้รูปร่างผิดปกติ พิกลพิการ จนแทบจะไม่เหลือความเป็นปกติของมนุษย์ทั่วไป คนที่เคยลักลอบเข้าไปสำรวจซากพื้นที่ส่วนต่างๆ ของเชอร์โนบิล ต่างเคยเจอประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่ชวนขนลุกในหลายระดับ เช่น ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองตลอดเวลา ได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือที่ไร้ที่มา พบเห็นเงาของชายลึกลับที่หลายคนพบเห็น และพูดถึงรูปร่างลักษณะตรงกัน จนถูกเรียกว่า "Slender Man" และกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่สุดสยองขวัญอีกแห่งที่คนทั่วโลกให้การยอมรับอย่างแท้จริง

เมืองซางจี ประเทศไต้หวัน

เมืองที่ 4 ได้แก่ เมืองซางจี ประเทศไต้หวัน ที่เมืองแห่งนี้หากมองกันตามภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็บอกได้เลยว่าเป็นเมืองที่สวยงามและน่าอยู่มากๆ ด้วยความที่มีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างแปลกประหลาด แต่กลับกลายเป็นเสน่ห์ที่สร้างความน่าสนใจจากการออกแบบที่หลุดออกจากกรอบเดิมๆ ไปอย่างไร้ขีดจำกัด หากแต่เรื่องราวความหลอนสยองขวัญเกิดขึ้นเมื่อการก่อสร้างกำลังดำเนินไปนั่นเอง ได้เกิดอุบัติเหตุหลายครั้งซึ่งได้คร่าชีวิตคนงานไปหลายคนจนถึงกับต้องหยุดการก่อสร้างไปหลายครั้งคราว แต่เหตุการณ์ที่ทำให้การก่อสร้างหยุดอย่างถาวรไปเลยก็คือ มีคนเห็นว่าส่วนต่างๆของบ้านสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้เองอย่างน่าขนลุกในยามวิกาลเรียกได้ว่าแม้จะสวยแค่ไหน หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมาแล้วล่ะก็ เชื่อได้เลยว่าหลายคนที่คิดอยากไปเยือนสถานที่แปลกประหลาดที่นี่ให้ได้สักครั้ง คงต้องกลับมาคิดกันหนักๆ อีกทีแล้วล่ะ

เมืองออราดูร์ ซู แกลน ประเทศฝรั่งเศส

เมืองที่ 5 ได้แก่ เมืองออราดูร์ ซู แกลน ประเทศฝรั่งเศส เป็นเมืองร้างที่เกิดขึ้นด้วยไฟสงครามอย่างแท้จริง ซึ่งมีการโดนทำลายอย่างย่อยยับไม่เหลือชิ้นดีโดยกองทัพเยอรมันเมื่อปี ค.ศ. 1944 ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ทุกเพศทุกวัยที่ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมเป็นจำนวนราว 642 ศพ เรียกว่าแทบสูญสิ้นชีวิตเกือบหมดเมืองเลยทีเดียว ปัจจุบันได้มีการพยายามบูรณะเมืองนี้ใหม่โดยทางการของฝรั่งเศาให้น่าอยู่ แต่ก็ยังมีผู้ที่พบเจอกับความอาถรรพ์ ความเฮี้ยนจนไม่มีใครที่กล้าย่างกรายเข้าไป นอกเสียจากว่าผู้ที่ดวงตกจะพลัดหลงเข้าไป หรือกลุ่มคนที่ต้องการความท้าทายในชีวิต และต้องการประสบณ์กับเหตุการณ์ไม่คาดฝันสักครั้ง ส่วนคนธรรมดาทั่วๆ ไปนั้น เชื่อได้เลยว่าคงไม่มีใครอยากย่างกรายมายังสถานที่แห่งนี้แน่นอน

รีวิวจากคนที่ได้เข้าไปสัมผัสเกาะฮาชิมะ นางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น

รีวิวจากคนที่ได้เข้าไปสัมผัสเกาะฮาชิมะ นางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น

หนึ่งในสถานที่ๆมีชื่อเสียงมากที่สุดในนางาซากิ และถือได้ว่ามีชื่อเสียงติดอับดับต้นๆของโลกในฐานะ 1 ใน 5 เกาะที่หลอนที่สุดในโลกนั่นคือ เกาะฮาชิมะ หรือ เกาะเรือรบ ด้วยภาพลักษณ์ภายนอกที่มองดูเหมือนเรือรบขนาดใหญ่ลอยลำอยู่กลางทะเล โดยเล่ากันว่าในสมัยสงครามโลก ทางสหรัฐได้ส่งเรือดำนำมาเพื่อจะเข้าโจมตีญี่ปุ่น แต่ทางทหารอเมริกาได้เห็นเกาะฮาชิมะเป็นเรือรบขนาดใหญ่เลยไม่กล้าเข้าโจมตีและล่าถอยกลับไป ซึ่งเราเองได้แต่เคยอ่านประวัติความเป็นมาของเกาะ เห็นจากรูปตามอินเตอร์เน็ตแล้วก็สยองไม่น้อย เพราะปัจจุบันฮาชิมะเป็นเกาะร้างที่ขึ้นชื่อเรื่องความน่ากลัวบวกกับเรื่องผีๆที่เล่ากันมาปากต่อปากเกี่ยวกับความหลอนของเกาะแห่งนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นนั่นคือ เราจะได้เข้าไปที่เกาะแห่งนี้โดยเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ทางการนางาซากิจะอนุญาตให้เข้าไปตะลุยเจาะลึกถึงในตัวเกาะ ไม่ใช่แค่รอบนอกที่ทัวร์อื่นๆได้ไปกัน และหลังจากนี้จะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปด้านในอีก นอกจากการชมเพียงบริเวณรอบนอกเท่านั้น

การไปเกาะฮาชิมะนั้น จากฝั่งเมืองนางาซากิต้องนั่งเรือไปใช้เวลาประมาณ 20 นาที ยิ่งเข้าใกล้ตัวเกาะเท่าไหร่ก็รับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของเกาะแห่งนี้ในอดีต และเมื่อได้ก้าวเข้าสู่ตัวเกาะ ความรู้สึกเหงา วังเวง หลอน ก็เข้ามาแทนที่ ด้วยตึกสูงใหญ่ที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้าแต่ปราศจากผู้คน ข้าวของของใช้ในสมัยนั้นๆยังคงอยู่ราวกับรอคอยการกลับมาของเจ้าของ เศษกระจกและซากปรักหักพังตกกระจายเกลื่อนตาอยู่ทุกที่ ตึกที่พร้อมจะถล่มลงมาได้อยู่ทุกเมื่อ โรงเรียนยังคงมีซากของโต๊ะนักเรียน กระดาน รวมถึงตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนฝาผนังซึ่งแปลไม่ออกว่าเค้าเขียนอะไรแต่กลับรู้สึกสยองเล็กๆ โรงพยาบาลที่เหลือแต่โครงสร้าง โรงภาพยนตร์ที่ถล่มจนไม่เหลือเค้าโครง รวมถึงลมทะเลที่พัดเอาความหนาวเย็นเข้ามาอยู่ตลอดเวลาคล้ายเสียงคนกระซิบ ยิ่งทำให้รู้สึกขนลุก น่ากลัวยิ่งขึ้นกว่าเดิม แถมเคยอ่านเรื่องในเน็ตที่เล่าถึงกองถ่ายหนัง Battle Royal ที่เข้ามาถ่ายที่นี่แล้วนักแสดงถูกผีเข้าสิง ยิ่งทำให้พวกเราต้องเกาะกลุ่มกันแจ เดินตัวติดไปเป็นขบวนกันเลยทีเดียว

อาคารและซากปรักหักพังบนเกาะฮาชิมะ

ภารกิจที่ต้องไปกลับที่นี่ 4 วัน ซึ่งน่าแปลกว่าในแต่ละวันที่เราจะต้องเดินทางเข้ามายังเกาะแห่งนี้ เส้นทางที่จะต้องเดินมันไม่เหมือนกันเลยในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะด้วยอุณหภูมิของเกาะหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เรารู้สึกว่าสีของต้นไม้ ต้นหญ้า ลักษณะของทางเดิน ซากตึก มันเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ในวันแรกๆของการทำงานก็ราบรื่นไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ในวันหลังๆเริ่มมีการได้ยินเสียง มีการเห็นเงาของใครบางคนที่เราไม่รู้จัก รวมถึงถูกสะกิดจากข้างหลังด้วยอะไรบางอย่างที่เราก็หาคำตอบไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศพาไปให้จิตหลอนและคิดไปเองหรือเปล่า แต่เชื่อเถอะถ้าใครได้มาสัมผัสถึงเกาะที่นี่ด้วยตัวเองแล้ว คงจะไม่บอกว่าเราคิดไปเองอย่างแน่นอน ในบางครั้งต้องแยกกลุ่มคนกระจายไปตามจุดต่างๆ บ้างไปสอง บ้างไปสาม แต่ไม่มีใครที่กล้าเดินเดี่ยวซักคน เพราะถ้าเกิดพลัดหลงกับคนอื่นขึ้นมาแล้วหล่ะก็ตัวใครตัวมันแน่คุณเอ๋ย เคยมีเหตุที่ว่าเดินห่างกันเพียง 1 ช่วงตึกก็ตะโกนเรียกกันไม่ได้ยินแล้ว แถมหน้าตาของตึกทางเดินแต่ละชั้นนั้นแทบจะไม่ต่างกันเท่าไหร่ยิ่งทำให้หลงกันง่ายได้มากขึ้น

มีอยู่ครั้งนึงที่มีเหตุทำให้เราต้องแยกตัวออกมาจากคนอื่นๆเพื่อไปทำธุระส่วนตัว ในขณะที่เรากำลังเดินๆอยู่นั้นเราก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนดังมาอีกตึกนึง ในใจก็คิดว่าเป็นทีมงานกลุ่มย่อยที่แยกตัวออกไป ซึ่งเวลานั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไร ขากลับที่เดินย้อนมาทางเก่าก็ยังคงได้ยินเสียงคนเดินดังออกมาจากตึกเดิมนั้นอีก เหมือนคนวิ่งขึ้นๆ ลงๆอยู่ในตึก ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ เราก็เห็นทีมงานทั้งหมดเดินออกมาจากอีกตึกนึงที่อยู่เยื้องกัน ในใจเรามีคำตอบของเรื่องนี้อยู่แล้วแต่ก็ทำใจดีสู้เสือถามออกไปว่า มีใครอยู่ในตึกที่เราได้ยินเสียงนี้หรือเปล่า คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ ไม่มี ทุกคนอยู่ตรงนั้นด้วยกันทั้งหมดรวมถึงพี่ที่ถ่ายวิดีโอที่เห็นคนวิ่งผ่านหน้ากล้องโดยเข้าใจว่าเป็นทีมงาน แต่เมื่อเดินไปยังจุดที่เห็นคนวิ่งก็ต้องช็อคเพราะมันเป็นระเบียงที่พังลงไปแล้ว คนไม่สามารถไปยืนอยู่ตรงนั้นได้แน่ๆ นอกจากอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่คน

แต่เรื่องที่ทำให้ทุกคนขนหัวลุกไปตามๆกัน คือ เมื่อมีหนึ่งในทีมงานที่เรียกได้ว่าค่อนข้างมีสัมผัสที่หกขอหยุดพักกะทันหัน เนื่องจากเกิดอาการหายใจไม่ออก อึดอัด และชี้บอกกับทีมงานคนอื่นๆว่าห้ามเดินเข้าไปลึกกว่านี้ ทุกคนพาเค้าออกมาจากจุดดังกล่าวและสอบถามอาการ เค้าเล่าว่าอาการแบบนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อมีพลังงานบางอย่างอยู่ใกล้ๆ เค้ารู้สึกเหมือนกับว่ามีคนอยู่ตรงนั้นหลายคนแย่งอากาศเค้าหายใจ และมีใครซักคนพยายามสื่อสารกับเค้าด้วยการหายใจรดต้นคอเหมือนกับจะบอกอะไรบางอย่างกับเค้า ทำเอาทุกคนขนหัวลุกไปตามๆกัน อาการแบบนี้ทีมงานทุกคนรู้สึกเหมือนกันหมด โดยเฉพาะความรู้สึกที่ถูกจ้องมองจากสายตาหลายคู่ จนทำให้ไม่กล้าที่จะจ้องมองที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานๆ เพราะกลัวว่าจะไปเจอกับดวงตาของใครเข้า
จากความรู้สึกกลัวๆหลอนๆในวันแรกๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นเหงา เศร้า หดหู่ อย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเมื่อได้เห็นตุ๊กตา รองเท้าผู้หญิงและรองเท้าเด็กที่ตกอยู่ข้างทาง จานชามที่ยังคงวางทิ้งอยู่ในซิ้งค์ล้างจาน ทำให้นึกถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ในสมัยนั้น เหตุใดต้องรีบร้อนออกจากเกาะเหมือนกับหนีอะไรบางอย่างจนไม่ทันได้เก็บข้าวของ และพาลคิดเลยเถิดไปอีกว่า จะมีใครไหมที่ยังคงตกค้างไม่ได้ออกจากเกาะหรือไม่อยากออกจากเกาะนี้ไป ยังคงอาศัยต่อไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายเพื่อรอคนที่รักกลับมาหา

ภาพสวยๆน่าประทับใจบนเกาะฮาชิมะ

วันสุดท้ายของการเสร็จสิ้นภารกิจ ทุกคนรู้สึกใจหายเล็กน้อยที่ต้องจากเกาะฮาชิมะ เพราะถึงแม้ว่าตัวเกาะจะดูน่ากลัว ดูหลอน วังเวงแค่ไหน แต่ทั้งเกาะก็แฝงไว้ด้วยเรื่องราวที่น่าค้นหา มีความทรงจำของผู้คนในสมัยนั้นอยู่แทบทุกซอกทุกมุม และความแปลกอีกอย่างของที่นี่คือ ถึงแม้จะเป็นเกาะร้างที่มีแต่ตึกเก่าซอมซ่อผุพัง แต่ไม่ว่าจะเก็บภาพหรือถ่ายภาพจากมุมไหนก็ตามมันจะออกมาสวยเสมอ ราวกับเป็นสถาปัตยกรรมที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อให้มันร้างและถูกทิ้งไว้อย่างนี้ ซึ่งน่าเสียดายที่อีกไม่นานโครงสร้างเหล่านี้คงจะถูกทำลายด้วยกาลเวลาและน้ำทะเล จนอาจไม่เหลืออะไรให้เห็น

นับว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่ามาก เรียกได้ว่าเป็นบุญที่ครั้งนึงเคยได้เข้าไปสัมผัสกับสิ่งมหัศจรรย์กลางทะเลเช่นนี้ ขนาดคนญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของแท้ๆยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสใกล้ชิดขนาดนี้ ต่อไปเกาะฮาชิมะก็จะถูกจดเป็นมรดกโลกและไม่ว่าเกาะแห่งนี้จะมีเรื่องเล่าในเรื่องของความหลอน ความเฮี้ยน เป็นเกาะร้าง เกาะผีสิงแค่ไหน แต่สำหรับเราในความน่ากลัวนั้น กลับเห็นความสวยงาม ความยิ่งใหญ่อลังการ และรวมถึงความแปลกความพิศวง ที่เชื้อเชิญให้ใครหลายคนอยากเข้าไปสัมผัส อยากเข้าไปลอง อยากเข้าไปค้นหาความลับของเกาะที่ได้ชื่อว่า หลอน และน่ากลัวที่สุดแห่งนี้ และนี่คือ เกาะฮาชิมะ

Hashima : The Ghost Island or The Battleship Island

Hashima : The Ghost Island or The Battleship Island

The end of World War II brought radical changes to Hashima Island and an important new purpose for its product. Instead of fuel for warships and steel for cannon shells, the coal from Hashima forged the tools for Japan's recovery from the pit of humiliation and defeat. Ironically, however, it was another conflict—the Korean War (1950-1953)—that catapulted the coal mines, and virtually every other Japanese industry, into a golden period of prosperity and growth.

The population of Hashima reached a peak of 5,259 in 1959. People were literally jammed into every nook and corner of the apartment blocks. The rocky slopes holding most of these buildings comprised about 60 percent of the total island area of 6.3 hectares (15.6 acres), while the flat property reclaimed from the sea was used mostly for industrial facilities and made up the remaining 40 percent. At 835 people per hectare for the whole island, or an incredible 1,391 per hectare for the residential district, it is said to be the highest population density ever recorded in the world. Even Warabi, a Tokyo bedtown and the most densely populated city in modern Japan, notches up only 141 people per hectare.

Hashima contained all the facilities and services necessary for the subsistence of this bulging community. Elbowing for space in the shadows of the apartment blocks were a primary school, junior high school, playground, gymnasium, pinball parlor, movie theater, bars, restaurants, 25 different retail shops, hospital, hairdresser, Buddhist temple, Shinto shrine, and even a brothel. Motor vehicles were nonexistent. As one former miner put it, one could walk between any two points on the island in less time than it took to finish a cigarette. Umbrellas were also unnecessary: a labyrinth of corridors and staircases connected all the apartment blocks and served as the island's highway system.

Equality may have reigned in the corridors, but the allocation of apartments reflected a rigid hierarchy of social classes. Unmarried miners and employees of subcontracting companies were interned in the old one-room apartments; married Mitsubishi workers and their families had apartments with two, six-mat rooms but shared toilets, kitchens and baths; high-ranking office personnel and teachers enjoyed the luxury of two-bedroom apartments with kitchens and flush toilets. The manager of Mitsubishi Hashima Coal Mine, meanwhile, lived in the only private, wood-constructed residence on the island—a house located symbolically at the summit of Hashima's original rock.

Indeed, Mitsubishi owned the island and everything on it, running a kind of benevolent dictatorship that guaranteed job security and doled out free housing, electricity and water but demanded that residents take turns in the cleaning and maintenance of public facilities. Thus the people of Hashima huddled together, all under the wing of "The Company" and all bent on a common purpose.

But coal is not edible. The community depended completely on the outside world for food, clothing and other staples. Even fresh water had to be carried to the island until pipes along the sea floor connected it to mainland reservoirs in 1957. Any storm that prevented the passage of ships for more than a day spelled fear and austerity for Hashima.

The most notable feature of the island was the complete absence of soil and indigenous vegetation. Hashima, after all, was nothing more than a rim of coal slag packed around the circumference of a bare rock. A movie shot there by Shochiku Co. Ltd. in 1949 was aptly entitled Midori Naki Shima (The Greenless Island).

The initiation of a planting campaign in 1963 was a sign of the residents' first hard-won taste of leisure. Using soil from the mainland they made gardens on the rooftops and enjoyed the unprecedented pleasure of home-grown vegetables and flowers. It was around this same time that electric rice cookers, refrigerators and television sets became standard appliances in the island's apartments.

But the optimism did not last long. Hashima's fortunes started on a downhill slide in the late 1960s when Japan's economy soared and petroleum replaced coal as the pillar of national energy policies. Coal mines across the country began to close. Mitsubishi slashed the work force at Hashima step by step, retraining workers and sending them off to other branches of its sprawling and booming industrial network. The coup de grâce came on 15 January 1974, when the company held a ceremony in the island gymnasium and officially announced the closing of the mine.

Empty Apartment Blocks in Hashima

The subsequent exodus proceeded with amazing speed. The last resident stepped onto the ship for Nagasaki on 20 April 1974, holding an umbrella up to a light rain and glancing back woefully toward the empty apartment blocks.

Sayonara Hashima - The Ghost Island or The Battleship Island

เทศกาลโอบ้ง (お盆祭り) (Obon Matsuri) ประเพณีการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ

เทศกาลโอบ้ง (お盆祭り) (Obon Matsuri) ประเพณีการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ

เทศกาลโอบ้ง (お盆祭り) (Obon Matsuri) ตรงกับวันที่ 13 - 16 สิงหาคมของทุกปี ชาวญี่ปุ่นจะเดินทางกลับบ้านเกิดในช่วงนี้เพื่อทำความสะอาดหลุมฝังศพและเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ (คล้ายๆเชงเม้งของชาวจีน) เป็นช่วงเวลาที่เชื่อกันว่าบรรพบุรุษที่ตายไปแล้วจะกลับมาจากนรกภูมิ เริ่มต้นจะมีการจุดไฟต้อนรับที่หน้าบ้าน ถวายผักบูชา มีการละเล่น แล้วในตอนเย็นของวันที่ 15 ก็มีการส่งวิญญาณบรรพบุรุษด้วยการจุดไฟที่เรียกว่า โทโรนางาชิ เป็นโคมกระดาษมีเทียนจุดไฟอยู่ภายใน แล้วนำไปลอยในแม่น้ำเพื่อนำทางให้วิญญาณบรรพบุรุษลอยออกสู่ทะเล โดยพิธีการลอยโคมไฟของแต่ละท้องถิ่นก็แตกต่างกันไป และในวันสุดท้าย 16 สิงหาคม จะจุดไฟโอคุริบิ (Okuribi) เป็นการส่งกลับวิญญาณบรรพบุรุษ

เทศกาลโอบ้ง โทโรนางาชิ

เทศกาลโอบ้ง เป็นประเภณีที่ถูกจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม ซึ่งมีความเชื่อว่าดวงวิญญาณของบรรพบุรุษจะได้รับอนุญาตให้กลับมาเยี่ยมเยือนญาติพี่น้องและลูกหลานได้อย่างอิสระ คนญี่ปุ่นในทุกบ้านเรือนจะจัดอาหารคาวหวานและดอกไม้ขึ้นตั้งให้ไว้บนหิ้งหรือตู้ของบรรพบุรุษซึ่งมีชื่อเฉพาะว่า บุสึดัง เพื่อต้อนรับดวงวิญญาณของบรรพบุรุษของตน จุดประสงค์ก็เพื่อให้ได้พักผ่อนและได้กินอยู่อย่างอิ่มหนำสำราญ และจะมีกำหนดระยะเวลาที่จะอนุญาตให้ดวงวิญญาณเหล่านี้อยู่ที่บ้านได้นานถึงเกือบหนึ่งเดือน แล้วจากนั้นถึงจะนำกลับไปส่งยังที่สุสานอย่างเดิม ซึ่งเป็นอันว่าเป็นการเสร็จพิธีการหรือจบการไหว้ในเทศกาลโอบ้ง

ที่มาของธรรมเนียมของเทศกาลโอบ้งนั้นมีตำนานว่า ในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดทั้งปวงในโลก มีผู้หนึ่งชื่อ โมคุเรน เป็นผู้กำพร้ามารดา ต่อมาเขาเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงได้ออกบวชเป็นพระภิกษุ ทำการเพียรจิตสมาธิจนกระทั่งสามารถได้เห็นนรกและสวรรค์ ครั้งหนึ่งพระโมคุเรนได้ไปท่องนรกภูมิก็เกิดได้ไปพบและได้เห็นว่ามารดาของตนนั้นต้องทนทุกขเวทนาอดๆอยากๆอยู่ที่นั่น ท่านมีจิตเวทนาและนึกสงสารในผลกรรมอันแสนที่จะทารุณอันไม่จบสิ้นของมารดาเป็นอย่างมาก

วันหนึ่ง พระโมคุเรนได้มีโอกาสได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อมีโอกาสจึงได้เล่าเรื่องราวที่ท่านไปเห็นมารดาที่ในนรกภูมิมา และยังกราบทูลถามว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถที่จะช่วยหรือแบ่งเบาให้มารดาของตนนั้นคลายจากทุกขเวทนานี้เสียได้ พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับรับฟังแล้วตรัสกับพระโมคุเรนว่า ดูกรโมคุเรน ไม่ใช่ว่าจะคิด ช่วยแต่เฉพาะคนคนเดียว ไม่ใช่ว่าจะคิดช่วยแต่แค่มารดาของตนแต่เพียงอย่างเดียว จงคิดช่วยไปถึงบุคคลอื่นๆทุกคนที่ได้ตายไปครั้งก่อนๆที่ไม่ใช่ญาติของเราก็ตาม ท่านจงอุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาให้กับเขาเหล่านั้นทุกคนเสียด้วย

เรื่องราวของพระโมคุเรนนี้จึงทำให้เกิดธรรมเนียม เทศกาลโอบ้ง ขึ้นในกาลเวลาต่อมา ซึ่งก็มีจุดมุ่งหมายถึงการทำการต้อนรับดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วให้กลับมาพักผ่อนที่บ้านได้และให้ได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ พิธีการต้อนรับดวงวิญญาณนั้นก็จะมีการจุดไฟเพื่อรับดวงวิญญาณกันที่ท่าน้ำบ้าง ที่หน้าบ้านของตนบ้าง หรือไปรับกลับมาโดยตรงจากสุสานของตระกูลก็มี เป็นธรรมเนียมที่กระทำกันต่อๆมาจนถึงปัจจุบันนี้

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเทศกาลโอบ้ง

เทศกาลโอบ้ง เป็นงานเลี้ยงฉลองต้อนรับดวงวิญญาณของบรรพบุรุษเพื่อให้เกิดความครื้นเครงรื่นรมย์หรรษาในขณะที่ได้กลับมาที่บ้านของตน งานจะคล้ายๆกับงานวัดของไทยเรานี่เอง โดยจะมีการตีกลองและจะเต้นรำไปรอบๆชั้นที่สร้างเป็นห้างอยู่กลางงาน เด็กๆและผู้ใหญ่ก็จะใส่ชุดยูกาตะ (ชุดกิโมโนหน้าร้อน) และต้องสวมถุงเท้าที่เรียกว่า Zori และรองเท้าเกี๊ยะที่เรียก Geta เท่านั้นถึงจะถูกต้องตามประเพณี ในงานจะมีเสียงเพลงบรรเลงอยู่ตลอดเวลา สร้างบรรยากาศให้สนุกสนานและครื้นเครงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว งานนี้จะมีกำหนดระยะเวลาถึงเกือบหนึ่งเดือนเต็มๆ แต่จะจัดสลับกันไปในหลายๆที่จนทั่วทั้งเมือง และในหนึ่งงานนั้นจะจัดกันประมาณ 3 - 4 วันเป็นอย่างน้อย

โชเรียวอุมะ จะเป็นชื่อของมะเขือม่วงและแตงกวา ที่ได้ใช้ตะเกียบหรือไม้ไผ่นำมาเหลาให้เล็กๆแล้วนำไปเสียบให้เป็นขาสี่ขา สันนิษฐานตามความเชื่อถือกันมาแต่สมัยโบราณว่า มะเขือม่วงนั้นเปรียบเป็นม้า และแตงกวาก็จะเปรียบเป็นวัว เชื่อกันว่าวิญญาณหรือผีของญี่ปุ่นนั้นจะไม่มีขา เพราะเชื่อกันว่าเมื่อตายลงไปก็จะโดนตัดขาทิ้งเสียนั่นเอง ดังนั้นวิญญาณเหล่านี้จึงจะต้องมีหรือจะต้องใช้สิ่งสองสิ่งนี้เป็นที่นั่งและที่วางสัมพาระต่างๆของตนบรรทุกกลับมาสู่บ้านนั่นเอง

เทศกาลโอบ้ง - เทศกาลไดมงจิ โกซัน โอคุริบิ
 
เทศกาลไดมงจิ โกซัน โอคุริบิ จังหวัดเกียวโต คือการจุดกองไฟบนภูเขาทั้ง 5 ของเกียวโต กองไฟที่ยิ่งใหญ่ตระการตาในรูปร่างของตัวอักษรจีนว่า ได ซึ่งมีความหมายว่า ใหญ่ อยู่บนหน้าภูเขาฮิกาชิ และยังมีตัวอักษรจีนอื่นอีก 4 ตัวบนหน้าภูเขาลูกอื่นอีก 4 ลูกด้วยกัน โดยจะเริ่มจุดในเวลา 2 ทุ่มตรง เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่ตระการตาที่สุดของงานเทศกาลโอบ้ง ส่วนตารางเวลาของงานนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของวันนั้นๆ

ทักทายมรดกโลกแห่งใหม่ ฮาชิมะ เมืองนางาซากิ เนเธอร์แลนด์แห่งแดนซามูไร

ทักทายมรดกโลกแห่งใหม่ ฮาชิมะ เมืองนางาซากิ เนเธอร์แลนด์แห่งแดนซามูไร

ก่อนอื่นขอแจ้งข่าวดีที่น่าจะรู้กันหมดแล้วก็คือ ตอนนี้คนไทยที่ต้องการจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นไม่ต้องขอวีซ่ากันแล้วนะจ๊ะ แต่สามารถพักอาศัยอยู่ได้ไม่เกิน 15 วันเท่านั้น ฉะนั้นใครอยากไปเที่ยวเชิญได้ตามสบายเลย แต่ที่อยากแนะนำมากๆคือที่ เมืองนางาซากิ ที่ตั้งอยู่เกือบจะใต้ที่สุดของประเทศ มีชายหาดยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา แม้ว่าเมืองนี้จะมีเรื่องราวความเป็นมาและความทรงจำอันเลวร้ายจากสงครามโลกครั้งที่2 จากการโดนโจมตีทางอากาศด้วยระเบิดปรมาณูถล่มเมืองในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 และกำลังครบรอบปีที่ 68 แล้วก็ตาม แต่ทุกวันนี้นางาซากิก็กลายเป็นเมือง เนเธอร์แลนด์ ดินแดนซามูไร ที่นักท่องเที่ยวใฝ่ฝันถึงไปซะแล้ว เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งด้านของสถาปัตยกรรมผสมผสานกับกลิ่นอายของความเป็นตะวันตกสูงถึง 99 เปอร์เซนต์ ทำให้ นางาซากิ กลายเป็นเนเธอร์แลนด์ไซส์ย่อม ที่ไม่ต้องควักเงินสูงนักในการเดินทาง โดยมีเกาะร้างกลางทะเลที่สวยงามและมีมนต์ขลังอย่าง ฮาชิมะ ที่กำลังจะเป็นมรดกโลกต่อจาก ภูเขาไฟฟูจิ เป็นของแถม ก็ถือว่าเมืองนี้มีไม้เด็ดที่จะสะกดนักท่องเที่ยวรับฤดูท่องเที่ยวของญี่ปุ่นที่จะมาถึงเร็วๆนี้แล้ว

Huis Ten Bosch เนเธอร์แลนด์แห่งแดนซามูไร

ผมได้รวบรวมเอาแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดมาให้แล้วคือ Huis Ten Bosch เมืองสไตล์เนเธอแลนด์, Shinchi Chinatown แหล่งรวมชาวจีนหลังสงครามโลกที่มีอาหารและสินค้าให้เลือกช็อปมากมาย, Dejima Island ย่านการค้าเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเอโดะ, Glover Garden, A-Bomb Musuem พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่2 ไว้อย่างครบถ้วน, Peace Park อนุสรณ์สถานแห่งความสูญเสียที่ถูกสร้างขึ้นบนศูนย์กลางของการทิ้งระเบิดเลย, Inasayama โรงแรมที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบเมืองนางาซากิเกาะได้อย่างเต็มตา และสถานที่สุดท้ายก็คือ เกาะฮาชิมะ เกาะร้างผีสิงสุดสยองที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ซึ่งเดิมทีบริษัทมิตซูบิชิสร้างขึ้นเพื่อทำเหมืองถ่านหิน และมีสาธารณูปโภคครบครัน ตั้งแต่โรงเรียน สระว่ายน้ำ โรงละคร ยิมนีเซียม โรงพยาบาล วัด หรือแม้แต่สุสาน แต่ก็ต้องถูกปิดตัวลงเมื่อปี 1974 จนกลายเป็นเกาะร้างกลางทะเล แต่หนังดังๆอย่าง Battle Royal2 และ 007 Skyfall ก็เคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำมาแล้ว และกำลังจะกลายเป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของญี่ปุ่นในปี 2014-2015 นี้อย่างแน่นอน

โดยในช่วงใกล้ๆนี้ ก็มีเทศกาลสำคัญที่น่าสนใจและอยากแนะนำให้เดินทางไปเที่ยวเลยก็คือ วันเทศกาล โอบ้ง お盆祭り (Obon Matsuri) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 13 - 15 สิงหาคมของทุกปี (และเป็นวันเดียวกับที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ต่อสงครามในสงครามโลกครั้งที่2 ด้วย) โดยในช่วงนี้ประเทศญี่ปุ่นจะมีประเพณีที่รำลึกถึงผู้ที่จากไป ตามความเชื่อโบราณจะเป็นช่วงเวลาที่บรรพบุรุษที่ตายไปแล้วจะได้กลับมาจากนรกภูมิ ซึ่งแต่ละบ้านจะมีการจุดไฟต้อนรับวิญญาณของบรรพบุรุษของตัวเองที่หน้าบ้าน ถวายผักบูชา และในวันสุดท้ายจะจุดไฟ โอคุริบิ (Okuribi) เพื่อส่งกลับวิญญาณบรรพบุรุษกลับ เทศกาลนี้จะมีการจัดงานกันเอิกเกริกครึกครื้น มีการร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนานสลับกันไปในแต่ละเมือง แทบไม่ต่างกันกับเทศกาลลอยกระทง หรือสงกรานต์บ้านเราเลยทีเดียว และในบางที่ก็จะมีการนำโคมไปซึ่งเป็นตัวแทนของดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้วไปลอยในน้ำด้วย

หวังว่า นางาซากิ เกาะฮาชิมะ และเทศกาลโอบ้ง น่าจะเป็นคำตอบที่คุ้มค่าสำหรับการตัดสินใจเดินทางตะลุยญี่ปุ่นโดยไม่ต้องใช้วีซ่าในครั้งนี้ของเพื่อนๆไม่มากก็น้อยนะครับ ถ้ามีโอกาสเราคงได้ไปเจอกัน

เกาะเรือรบ Battleship Island กุนคันชิม่า หรือ ฮาชิมะ


เกาะเรือรบ Battleship Island กุนคันชิม่า โดย กุนคัน หรือ 軍艦 ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าเรือรบ เนื่องจากเวลามองในระยะไกลแล้วเกาะนี้มีรูปทรงคล้ายกับเรือรบ โดยรู้จักกันดีในชื่อ เกาะ Hashima ฮาชิมะ อยู่ในประเทศญี่ปุ่น

เกาะเรือรบแห่งนี้ต้องเดินทางด้วยเรือจากฝั่งทะเลของเมืองนางาซากิออกไปประมาณ 15 กิโลกเมตร ในทะเลจีนตะวันออก จะพบเมืองเล็กๆที่ดูทันสมัยกลางทะเล แต่ถ้าเกิดมองให้ดีๆแล้วจะพบว่ามันร้างอย่างน่ากลัว และได้รับการโจษจันว่าผีดุ!!

ความเป็นมาดั้งเดิมของเกาะนี้ แต่เดิมเมืองนี้ชื่อ กุนคันชิม่า (Gunkanjia) หรือ เกาะเรือรบ (Battleship Island) เกิดขึ้นในยุคที่อุตสาหกรรมถ่านหินเฟื่องฟูในปี ค.ศ. 1887 ก่อสร้างโดยบริษัทมิตซูบิชิ (Mitsubishi) ซึ่งใช้เป็นที่พักในลักษณะเมืองขนาดเล็ก โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับพนักงานมากมาย เช่น อพาร์ทเมนต์ โรงเรียนประถม สนามเด็กเล่น โรงภาพยนตร์ บาร์ โรงพยาบาล ทว่าในยุค 60 อุตสาหกรรมถ่านหินในญี่ปุ่นค่อยๆทยอยปิดตัวลง เนื่องจากถ่านหินหมดความนิยมจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงชนิดอื่น จนกระทั่งปิดตัวลงอย่างถาวรในปี 1974 โดยทุกวันนี้เหลือเพียงแต่เศษซากของความรุ่งเรืองทิ้งไว้ให้ระลึกถึงอดีต

ในเวลากลางวัน เกาะเรือรบแห่งนี้กลายเป็นที่ท่องเที่ยวสำหรับผู้สนใจที่อยากสัมผัสบรรยากาศสมัยก่อน แต่แอบหลอนนิดๆ ขนาดตอนกลางวันยังดูน่าหดหู่น่ากลัว และถ้าเป็นตอนกลางคืนยิ่งน่ากลัวกว่าหลายเท่า โดยเฉพาะในช่วงมรสุมหรือพายุเข้าชาวประมงมักเห็นแสงไฟจำนวนหนึ่งลอยละล่องวนเวียนเหนือตึกสูงทั้งๆที่ไม่มีไฟฟ้า และได้ยินเสียงน่ากลัวดังเหมือนกับโหยหาใครซักคนไปอยู่ด้วย โดยเกาะเรือรบยังได้ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Battle Royale และผู้กำกับคินจิ ฟูกาซากุ ได้เผยต่อทุกคนว่า เกาะเรือรบนี้มีอาถรรพ์จริงๆ นั่นยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเกาะนี้โด่งดังยิ่งขึ้นและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

คินจิกล่าวว่า ในระหว่างการถ่ายทำได้พบสิ่งผิดปกติอยู่ตลอดเวลา เช่น มีคนอื่นที่ไม่ใช่ทีมงานถูกถ่ายติดเข้ามาในฉาก หรือไม่ก็ฟิล์มเสียทั้งๆที่เพิ่งใช้งาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกองถ่ายยังคงต้องดำเนินต่อไปเพื่ออรรถรสของภาพยนตร์อย่างมากที่สุด แต่เหตุการณ์ที่หวาดผวาที่สุดในกองถ่ายและทำให้กองถ่ายต้องหยุดพักอยู่เป็นอาทิตย์ก็คือเมื่อ ชิอากิ คูริยาม่า นักแสดงหญิงคนหนึ่งซึ่งรับบทเป็นนักเรียนได้เข้าฉาก และเธอได้ถูกบางสิ่งบางอย่างเข้าครอบงำ จากคำบอกเล่าของทุกคนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่า ดวงตาของเธอกลายเป็นสีแดงก่ำและนัยน์ตาของเธอเบิกโพลงดูแข็งกร้าวขึ้น หลังจากนั้นเธอได้พุ่งเข้ามาหา โคอุ ชิบาซากิ (1 ในนักแสดงหญิง) และทำการรัดคอเธออย่างสุดแรง ทางทีมงานเห็นท่าไม่ดีจึงได้เชิญมิโกะหญิงที่เดินทางมาด้วยให้ทำการขับไล่วิญญาณร้ายนั้นและเป็นผลสำเร็จ หลังจากวิญญาณนั้นออกจากร่าง เธอบอกว่า เกาะเรือรบนี้มีดวงวิญญาณที่มีความอาฆาตแค้นอยู่มากและยากที่จะขจัดออกไปได้ เพราะที่ตรงนี้คือสถานที่ของพวกเขา


ด้วยความประหลาดและรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเรือรบเลยเป็นที่มาให้ เกาะฮาชิมะ (Hashima) หรือ เกาะเรือรบ (Battle Ship Island) ของจังหวัดนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้ ก็ดูกันเองแล้วกันว่าเหมือนขนาดไหน แต่นอกจากความแปลกประหลาดแล้วเกาะนี้ยังมีเรื่องราวอันน่าพิศวงเกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่เคยเป็นเมืองที่มีผู้คนอยู่อาศัยเยอะที่สุดในโลกด้วยซ้ำ แต่อยู่ๆก็ถูกสั่งให้อพยพคนออกจากเกาะจนหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว จนกลายเป็น 1 ใน 5 เมืองร้างหลอนติดอันดับโลกไปในที่สุด แถมยังมีเรื่องเล่าชวนขนลุกเกี่ยวกับอาถรรพ์ของเกาะที่อาจจะยังไม่เคยมีใครรู้ คือหากใครลองได้ย่างกรายขึ้นไปบนเกาะแห่งนี้ เมื่อตายไปแล้วดวงวิญญาณจะถูกพลังงานบางอย่างบนเกาะดูดกลับไปอยู่บนเกาะเรือรบแห่งนี้ชั่วนิรันดร์อีกด้วย น่าสยองใช่มั๊ยล่ะ

ฮาชิมะ ตำนานอาถรรพ์เกาะร้างผีสิง Ghost Island


ฮาชิมะ เกาะร้างที่มีชื่อเสียงโด่งดังติดอันดับ 1 ใน 5 ความน่ากลัวระดับ 10 กะโหลก สถานที่ตั้งจังหวัด นางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น เคยโด่งดังและรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีผู้คนอยู่อาศัยหนาแน่น แต่ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่รกร้างปราศจากสิ่งมีชีวิต เหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง และอาคารคอนกรีตที่ตั้งตระหง่านราวกับเรือรบยักษ์กลางทะเล ที่ผู้คนขนานนามให้ว่า Battle Ship (เกาะเรือรบ) หรือ Ghost Island (ดินแดนเกาะร้างผีสิง)

หลากหลายเรื่องราวและเรื่องเล่าที่กล่าวขานต่อๆกันมา ยิ่งทำให้ตำนานเกาะร้างมีช่างลี้ลับและน่าพิศวง เมื่อบางคนกล่าวอ้างถึงเหตุการณ์อันน่าสยดสยองของการตายครั้งใหญ่ของคนงานในเหตุการณ์เหมืองถ่านหินถล่ม ร่างผู้คนนับพันนอนทับถมกันอย่างไม่มีใครเหลียวแลภายใต้ผืนแผ่นดินอันเย็นเยียบ ทางเข้าออกทุกทิศถูกปิดตายลงเพื่อป้องกันมิให้เหล่าดวงวิญญาณออกอาละวาดหลอกหลอนผู้คน ผู้ที่ยังมีชีวิตก็สาบสูญหายภายในชั่วข้ามคืน ทิ้งข้าวของเครื่องใช้ให้อยู่ในสภาพเดิมราวกับยังไม่เคยออกจากเกาะนี้ไปไหน แต่ยังรอคอยให้เมืองร้างกลางทะเลแห่งนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง บ้างก็ว่ากันว่าเกาะนี้เป็นแหล่งรวมศูนย์สัมภเวสีที่ล่องลอยในทะเลไร้ที่พักพิง เถ้าถ่านของกระดูกมนุษย์ที่เคยสังเวยให้กับสงครามโลกเมื่อครั้งญี่ปุ่นโดนถล่มด้วยระเบิดนิวเคลียร์ก็ไหลมารวมกัน ณ ที่แห่งนี้ด้วย อาถรรพ์ของเกาะเลยยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนไม่สามารถอยู่อาศัยกันได้อีกต่อไป ขนาดผู้ที่ย่างกรายเข้าไปใกล้ก็ยังได้เห็นดวงไฟประหลาดที่ลอยไปมาปะปนกับเสียงโหยหวนของพลังงานบางอย่าง ที่ทนทุกข์ทรมานจากการถูกพรัดพรากจากคนที่รักอย่างไม่มีวันหวนกลับ

แล้วคุณหล่ะเชื่อหรือไม่ว่าเกาะร้าง ฮาชิมะ แห่งนี้มีอาถรรพ์ หรือจะเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ถูกกล่าวขานสืบต่อกันมาแค่นั้น??

เกาะผีสิง เมืองร้างสุดหลอน ฮะชิมะ หรือ กุงกันจิมะ (Ghost Island หรือ Battleship Island)

เกาะผีสิง เมืองร้างสุดหลอน ฮะชิมะ หรือ กุงกันจิมะ (Ghost Island หรือ Battleship Island)

เกาะผีสิง เมืองร้างสุดหลอน ฮะชิมะ หรือ กุงกันจิมะ (Ghost Island หรือ Battleship Island) ตำนานเกาะที่น่ากลัว เมืองร้างสุดเฮี้ยนที่สุดในญี่ปุ่น เป็นเกาะที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองในธรรมชาติแต่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่พักของคนงานทำอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหิน แต่ทำไม หรือเพราะเหตุใด จึงได้เกิดตำนานที่น่ากลัวขึ้น ติดตามได้ที่นี่

เกาะฮาชิมะ (บางทีก็เรียกว่า ฮะชิมะ หรือ ฮาชิม่า) หรือ กุงกันจิมะ เป็นเกาะที่เริ่มถูกสร้างขึ้นมาในปี ค.ศ. 1887 และเสร็จในปี ค.ศ. 1890 โดยทางมิตซูบิชิได้ดำเนินการสร้าง โดยอยู่ห่างจากเมืองนางาซากิประมาณ 15 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักของคนงานทำอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหิน บนเกาะมีตึกที่พักและได้รับการบันทึกว่าเป็นเมืองที่มีผู้คนหนาแน่นมากที่สุดในช่วงนั้น จนเมื่อถ่านหินไม่นิยมใช้เพราะว่ามีน้ำมันเข้ามาทดแทน เกาะฮาชิม่าจึงได้ปิดตัวลงในปี ค.ศ. 1974

ในอดีตเกาะฮะชิมะเต็มไปด้วยถ่านหิน ต่อมาได้มีการค้นพบและเริ่มต้นทำเหมืองถ่านหินกันอย่างจริงจังในปี ค.ศ. 1887 ก่อนที่มิตซูบิชิจะซื้อเกาะเพื่อพัฒนาเป็นเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ รองรับกับความต้องการถ่านหินในการพัฒนาอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นสมัยนั้น จนทำให้มีการอพยพแรงงานและครอบครัวมาตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะแห่งนี้จนเต็มพื้นที่ แต่ในขณะเดียวกันก็เปรียบเหมือนกับสถานที่คุมขังนักโทษไปโดยปริยาย เนื่องจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์แรงงานชาวจีนและเกาหลีใต้ที่เป็นจำเลยช่วงสงครามมาทำงานในเหมืองถ่านหิน ทำให้ในสายตาของชาวจีนและเกาหลีใต้มองเกาะฮาชิมะเป็นเหมือนกับสถานที่ที่ทำให้พวกเขาฝันร้ายมาจนถึงปัจจุบัน

จนกระทั่งปี ค.ศ. 1974 ทางมิตซูบิชิได้ประกาศปิดเหมืองบนเกาะฮาชิมะ เนื่องจากพลังงานจากถ่านหินไม่ได้เป็นที่ต้องการของญี่ปุ่นอีกต่อไป โดยได้หันไปให้ความสำคัญกับพลังงานจากน้ำมันแทน ซึ่งหลังจากการปิดตัวลงแรงงานทั้งหมดจึงอพยพออกจากพื้นที่ และปล่อยให้เกาะแห่งนี้เป็นเกาะร้าง ที่ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้หรือดอกไม้ขึ้นอยู่ จะมีก็แต่เพียงไม้ล้มลุกขนาดเล็กเท่านั้น

ปัจจุบันทางการญี่ปุ่นพต้องการอยากให้เกาะฮาชิมะเข้าเป็นมรดกโลก โดยทำการยื่นเรื่องไปยังองค์การยูเนสโก ทว่ากลับถูกทางการเกาหลีใต้คัดค้าน เพราะมองว่าเกาะฮะชิมะคือบาดแผลสงครามที่ยังหลงเหลืออยู่ และทำให้ชาวเกาหลีใต้และชาวจีนรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่มีการกล่าวถึงเกาะนี้ ดังนั้นการที่ญี่ปุ่นจะยกย่องให้เกาะนี้เป็นมรดกโลกจึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง และอาจจะด้วยเหตุนี้นี่เอง ที่เป็นที่มาของเรื่องราวอันน่ากลัว ลึกลับซับซ้อนของเกาะผีเมืองร้าง ฮาชิมะ