รีวิวจากคนที่ได้เข้าไปสัมผัสเกาะฮาชิมะ นางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น

รีวิวจากคนที่ได้เข้าไปสัมผัสเกาะฮาชิมะ นางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น

หนึ่งในสถานที่ๆมีชื่อเสียงมากที่สุดในนางาซากิ และถือได้ว่ามีชื่อเสียงติดอับดับต้นๆของโลกในฐานะ 1 ใน 5 เกาะที่หลอนที่สุดในโลกนั่นคือ เกาะฮาชิมะ หรือ เกาะเรือรบ ด้วยภาพลักษณ์ภายนอกที่มองดูเหมือนเรือรบขนาดใหญ่ลอยลำอยู่กลางทะเล โดยเล่ากันว่าในสมัยสงครามโลก ทางสหรัฐได้ส่งเรือดำนำมาเพื่อจะเข้าโจมตีญี่ปุ่น แต่ทางทหารอเมริกาได้เห็นเกาะฮาชิมะเป็นเรือรบขนาดใหญ่เลยไม่กล้าเข้าโจมตีและล่าถอยกลับไป ซึ่งเราเองได้แต่เคยอ่านประวัติความเป็นมาของเกาะ เห็นจากรูปตามอินเตอร์เน็ตแล้วก็สยองไม่น้อย เพราะปัจจุบันฮาชิมะเป็นเกาะร้างที่ขึ้นชื่อเรื่องความน่ากลัวบวกกับเรื่องผีๆที่เล่ากันมาปากต่อปากเกี่ยวกับความหลอนของเกาะแห่งนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นนั่นคือ เราจะได้เข้าไปที่เกาะแห่งนี้โดยเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ทางการนางาซากิจะอนุญาตให้เข้าไปตะลุยเจาะลึกถึงในตัวเกาะ ไม่ใช่แค่รอบนอกที่ทัวร์อื่นๆได้ไปกัน และหลังจากนี้จะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปด้านในอีก นอกจากการชมเพียงบริเวณรอบนอกเท่านั้น

การไปเกาะฮาชิมะนั้น จากฝั่งเมืองนางาซากิต้องนั่งเรือไปใช้เวลาประมาณ 20 นาที ยิ่งเข้าใกล้ตัวเกาะเท่าไหร่ก็รับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของเกาะแห่งนี้ในอดีต และเมื่อได้ก้าวเข้าสู่ตัวเกาะ ความรู้สึกเหงา วังเวง หลอน ก็เข้ามาแทนที่ ด้วยตึกสูงใหญ่ที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้าแต่ปราศจากผู้คน ข้าวของของใช้ในสมัยนั้นๆยังคงอยู่ราวกับรอคอยการกลับมาของเจ้าของ เศษกระจกและซากปรักหักพังตกกระจายเกลื่อนตาอยู่ทุกที่ ตึกที่พร้อมจะถล่มลงมาได้อยู่ทุกเมื่อ โรงเรียนยังคงมีซากของโต๊ะนักเรียน กระดาน รวมถึงตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนฝาผนังซึ่งแปลไม่ออกว่าเค้าเขียนอะไรแต่กลับรู้สึกสยองเล็กๆ โรงพยาบาลที่เหลือแต่โครงสร้าง โรงภาพยนตร์ที่ถล่มจนไม่เหลือเค้าโครง รวมถึงลมทะเลที่พัดเอาความหนาวเย็นเข้ามาอยู่ตลอดเวลาคล้ายเสียงคนกระซิบ ยิ่งทำให้รู้สึกขนลุก น่ากลัวยิ่งขึ้นกว่าเดิม แถมเคยอ่านเรื่องในเน็ตที่เล่าถึงกองถ่ายหนัง Battle Royal ที่เข้ามาถ่ายที่นี่แล้วนักแสดงถูกผีเข้าสิง ยิ่งทำให้พวกเราต้องเกาะกลุ่มกันแจ เดินตัวติดไปเป็นขบวนกันเลยทีเดียว

อาคารและซากปรักหักพังบนเกาะฮาชิมะ

ภารกิจที่ต้องไปกลับที่นี่ 4 วัน ซึ่งน่าแปลกว่าในแต่ละวันที่เราจะต้องเดินทางเข้ามายังเกาะแห่งนี้ เส้นทางที่จะต้องเดินมันไม่เหมือนกันเลยในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะด้วยอุณหภูมิของเกาะหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เรารู้สึกว่าสีของต้นไม้ ต้นหญ้า ลักษณะของทางเดิน ซากตึก มันเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ในวันแรกๆของการทำงานก็ราบรื่นไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ในวันหลังๆเริ่มมีการได้ยินเสียง มีการเห็นเงาของใครบางคนที่เราไม่รู้จัก รวมถึงถูกสะกิดจากข้างหลังด้วยอะไรบางอย่างที่เราก็หาคำตอบไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศพาไปให้จิตหลอนและคิดไปเองหรือเปล่า แต่เชื่อเถอะถ้าใครได้มาสัมผัสถึงเกาะที่นี่ด้วยตัวเองแล้ว คงจะไม่บอกว่าเราคิดไปเองอย่างแน่นอน ในบางครั้งต้องแยกกลุ่มคนกระจายไปตามจุดต่างๆ บ้างไปสอง บ้างไปสาม แต่ไม่มีใครที่กล้าเดินเดี่ยวซักคน เพราะถ้าเกิดพลัดหลงกับคนอื่นขึ้นมาแล้วหล่ะก็ตัวใครตัวมันแน่คุณเอ๋ย เคยมีเหตุที่ว่าเดินห่างกันเพียง 1 ช่วงตึกก็ตะโกนเรียกกันไม่ได้ยินแล้ว แถมหน้าตาของตึกทางเดินแต่ละชั้นนั้นแทบจะไม่ต่างกันเท่าไหร่ยิ่งทำให้หลงกันง่ายได้มากขึ้น

มีอยู่ครั้งนึงที่มีเหตุทำให้เราต้องแยกตัวออกมาจากคนอื่นๆเพื่อไปทำธุระส่วนตัว ในขณะที่เรากำลังเดินๆอยู่นั้นเราก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนดังมาอีกตึกนึง ในใจก็คิดว่าเป็นทีมงานกลุ่มย่อยที่แยกตัวออกไป ซึ่งเวลานั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไร ขากลับที่เดินย้อนมาทางเก่าก็ยังคงได้ยินเสียงคนเดินดังออกมาจากตึกเดิมนั้นอีก เหมือนคนวิ่งขึ้นๆ ลงๆอยู่ในตึก ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ เราก็เห็นทีมงานทั้งหมดเดินออกมาจากอีกตึกนึงที่อยู่เยื้องกัน ในใจเรามีคำตอบของเรื่องนี้อยู่แล้วแต่ก็ทำใจดีสู้เสือถามออกไปว่า มีใครอยู่ในตึกที่เราได้ยินเสียงนี้หรือเปล่า คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ ไม่มี ทุกคนอยู่ตรงนั้นด้วยกันทั้งหมดรวมถึงพี่ที่ถ่ายวิดีโอที่เห็นคนวิ่งผ่านหน้ากล้องโดยเข้าใจว่าเป็นทีมงาน แต่เมื่อเดินไปยังจุดที่เห็นคนวิ่งก็ต้องช็อคเพราะมันเป็นระเบียงที่พังลงไปแล้ว คนไม่สามารถไปยืนอยู่ตรงนั้นได้แน่ๆ นอกจากอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่คน

แต่เรื่องที่ทำให้ทุกคนขนหัวลุกไปตามๆกัน คือ เมื่อมีหนึ่งในทีมงานที่เรียกได้ว่าค่อนข้างมีสัมผัสที่หกขอหยุดพักกะทันหัน เนื่องจากเกิดอาการหายใจไม่ออก อึดอัด และชี้บอกกับทีมงานคนอื่นๆว่าห้ามเดินเข้าไปลึกกว่านี้ ทุกคนพาเค้าออกมาจากจุดดังกล่าวและสอบถามอาการ เค้าเล่าว่าอาการแบบนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อมีพลังงานบางอย่างอยู่ใกล้ๆ เค้ารู้สึกเหมือนกับว่ามีคนอยู่ตรงนั้นหลายคนแย่งอากาศเค้าหายใจ และมีใครซักคนพยายามสื่อสารกับเค้าด้วยการหายใจรดต้นคอเหมือนกับจะบอกอะไรบางอย่างกับเค้า ทำเอาทุกคนขนหัวลุกไปตามๆกัน อาการแบบนี้ทีมงานทุกคนรู้สึกเหมือนกันหมด โดยเฉพาะความรู้สึกที่ถูกจ้องมองจากสายตาหลายคู่ จนทำให้ไม่กล้าที่จะจ้องมองที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานๆ เพราะกลัวว่าจะไปเจอกับดวงตาของใครเข้า
จากความรู้สึกกลัวๆหลอนๆในวันแรกๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นเหงา เศร้า หดหู่ อย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเมื่อได้เห็นตุ๊กตา รองเท้าผู้หญิงและรองเท้าเด็กที่ตกอยู่ข้างทาง จานชามที่ยังคงวางทิ้งอยู่ในซิ้งค์ล้างจาน ทำให้นึกถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ในสมัยนั้น เหตุใดต้องรีบร้อนออกจากเกาะเหมือนกับหนีอะไรบางอย่างจนไม่ทันได้เก็บข้าวของ และพาลคิดเลยเถิดไปอีกว่า จะมีใครไหมที่ยังคงตกค้างไม่ได้ออกจากเกาะหรือไม่อยากออกจากเกาะนี้ไป ยังคงอาศัยต่อไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายเพื่อรอคนที่รักกลับมาหา

ภาพสวยๆน่าประทับใจบนเกาะฮาชิมะ

วันสุดท้ายของการเสร็จสิ้นภารกิจ ทุกคนรู้สึกใจหายเล็กน้อยที่ต้องจากเกาะฮาชิมะ เพราะถึงแม้ว่าตัวเกาะจะดูน่ากลัว ดูหลอน วังเวงแค่ไหน แต่ทั้งเกาะก็แฝงไว้ด้วยเรื่องราวที่น่าค้นหา มีความทรงจำของผู้คนในสมัยนั้นอยู่แทบทุกซอกทุกมุม และความแปลกอีกอย่างของที่นี่คือ ถึงแม้จะเป็นเกาะร้างที่มีแต่ตึกเก่าซอมซ่อผุพัง แต่ไม่ว่าจะเก็บภาพหรือถ่ายภาพจากมุมไหนก็ตามมันจะออกมาสวยเสมอ ราวกับเป็นสถาปัตยกรรมที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อให้มันร้างและถูกทิ้งไว้อย่างนี้ ซึ่งน่าเสียดายที่อีกไม่นานโครงสร้างเหล่านี้คงจะถูกทำลายด้วยกาลเวลาและน้ำทะเล จนอาจไม่เหลืออะไรให้เห็น

นับว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่ามาก เรียกได้ว่าเป็นบุญที่ครั้งนึงเคยได้เข้าไปสัมผัสกับสิ่งมหัศจรรย์กลางทะเลเช่นนี้ ขนาดคนญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของแท้ๆยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสใกล้ชิดขนาดนี้ ต่อไปเกาะฮาชิมะก็จะถูกจดเป็นมรดกโลกและไม่ว่าเกาะแห่งนี้จะมีเรื่องเล่าในเรื่องของความหลอน ความเฮี้ยน เป็นเกาะร้าง เกาะผีสิงแค่ไหน แต่สำหรับเราในความน่ากลัวนั้น กลับเห็นความสวยงาม ความยิ่งใหญ่อลังการ และรวมถึงความแปลกความพิศวง ที่เชื้อเชิญให้ใครหลายคนอยากเข้าไปสัมผัส อยากเข้าไปลอง อยากเข้าไปค้นหาความลับของเกาะที่ได้ชื่อว่า หลอน และน่ากลัวที่สุดแห่งนี้ และนี่คือ เกาะฮาชิมะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น